พยาธิแพทย์พันธุกรรมที่หายาก
พยาธิแพทย์เป็นแพทย์เฉพาะทาง (ที่ผมเป็นอยู่) สาขาหนึ่งแบ่งเป็นสองอนุสาขาคือ พยาธิวิทยาคลินิกและพยาธิวิทยากายวิภาค
แพทย์พยาธิวิทยาคลินิก เป็นแพทย์ที่รอบรู้เกี่ยวกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ พูดง่ายๆคือรู้ว่า การตรวจต่างๆ มันช่วยวินิจฉัยโรคอย่างไร มีความแม่นยำเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ตรวจอย่างไรใช้สิ่งส่งตรวจอะไร ควบคุมคุณภาพอย่างไร แปรผลอย่างไร ฯลฯ
แพทย์พยาธิวิทยากายวิภาค เป็นแพทย์เฉพาะทางที่ตรวจวินิจฉัยโรคด้วยการตรวจชิ้นเนื้อตัวอย่างว่าเป็นโรคอะไร รวมทั้งตรวจดูการรุกลามของรอยโรค และลักษณะทางเนื้อเยื่อต่างๆเพื่อบอกการพยากรณ์โรคและวางแผนการรักษา รวมทั้งการตรวจศพเพื่อการศึกษาโรคและบอกสาเหตุการตายและร่องรอยการดำเนินโรคในระยะต่างๆเพื่อเชื่อมโยงกับลักษณะทางคลินิก(การตรวจร่างกาย อาการและอาการแสดง)
สำหรับเมืองไทยจะเป็นพยาธิแพทย์ได้ต้องเรียนเป็นแพทย์เฉพาะทาง คือหลังจบจากปี 6 แล้ว อาจเป็น intern 1 ปีก่อนแล้วมาเรียน หรือจบปี 6 แล้วมาเรียนต่อเลยก็ได้ ใช้เวลาเรียนเท่ากันคือ 3 ปี สามารถเลือกเรียนได้ 3 อนุสาขา คือ พยาธิวิทยาคลินิก พยาธิวิทยากายวิภาค และพยาธิวิทยาทั่วไป สาขาหลังนี้ เรียนพยาธิกายวิภาค 2ปี พยาธิคลินิก 1 ปี
ในหมู่วิชาชีพแพทย์เฉพาะทางที่แพทย์จบใหม่ไม่นิยมเลือกจะเป็นกัน สมัยผมจบใหม่ก็มีพยาธิแพทย์ นิติเวชแพทย์ วิสัญญีแพทย์ จิตแพทย์ และรังสีแพทย์ ในปัจจุบันความนิยมเปลี่ยนไปมาก มีแพทย์จบใหม่หันมาเรียนกันมากขึ้น อย่างเช่น รังสีแพทย์ วิสัญญีแพทย์ จิตแพทย์ หรือแม้แต่ นิติเวชแพทย์ ทำให้สาขาแพทย์เฉพาะทางสาขาที่ไม่เป็นที่นิยมเรียนของแพทย์จบใหม่ลดน้อยลง จนเกือบจะเรียกได้ว่าเหลือพยาธิแพทย์สาขาเดียวที่แพทย์จบใหม่ยังคงไม่นิยมเลือกเรียน
แม้ว่าจำนวนแพทย์จบใหม่ที่เลือกเป็นพยาธิแพทย์มีมากขึ้น แต่เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่เพิ่มเนื่องจากปีหนึ่งๆมีแพทย์จบใหม่เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว
สาเหตุที่แพทย์เลือกเรียนพยาธิวิทยากันน้อยกว่าสาขาอื่นมีหลายประการ อาทิลักษณะงานแบบปิดทองหลังพระที่ไม่ได้พบเจอกับคนไข้โดยตรง เจอแต่อวัยวะ หรือชิ้นส่วนของอวัยวะที่ตัดออกมาเพื่อการตรวจรักษา จะเจอทั้งร่างก็ตอนส่วนมากก็ตอนไม่มีวิญญาณแล้ว คนไข้ส่วนมากไม่รู้ และไม่มีโอกาสรู้ว่าพยาธิแพทย์ทำอะไรให้กับเขา พยาธิแพทย์จึงเป็นตัวพ่อตัวแม่ของผู้ปิดทองหลังพระ
การตรวจศพและชิ้นเนื้อศัลยกรรมก็ไม่เป็นที่น่าอภิรมย์นักเพราะต้องพบกับของเสียของเน่า ความสกปรกเลอะเทอะ เชื้อโรค และอวัยวะที่เป็นรอยโรค บางครั้งก็น่ากลัวและ .... ลองคิดดูว่าถ้าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ถ้ามะเร็งมันทำให้ลำไส้อุดตัน แล็ว “ขี้ในไส้” มันจะไปอยู่ไหน เมื่อศัลยแพทย์ตัดออกมาแล้วส่งมาให้พยาธิแพทย์ตรวจส่วนมากก็จะส่งมาทั้งหมดซึ่งรวมถึง “ขี้ในไส้” ด้วย แล้วใครเป็นคนล้างล่ะ บางทีเป็นกิโลเลย แล้วอุตส่าห์เรียนแพทย์ ให้มาล้างขี้เหรอ คิดหนักนะ
พยาธิวิทยายังเป็นวิชาที่ยาก นอกจากต้องรู้จักประสมประสานและประยุกต์ใช้ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่กว้างและลึกหลายแขนง แล้วยังต้องอาศัยทักษะทางภาษา การสื่อสารและศิลปะอื่นๆอีกด้วย
พยาธิแพทย์ที่ดีต้องเป็นคนช่างสังเกต รอบคอบ เป็นนักแกะรอยหรือนักสืบ คิดแบบเป็นเหตุเป็นผล และเชิงวิพากษ์ได้เอง
โอ๊ะโอ.. แล้วจะหาใครมาเรียนล่ะ ให้คนเก่งๆมาล้างขี้เนี่ยนะ เฮ่อ!
ครับหายากที่รู้ข้อมูลเชิงลึกแล้วจะชอบแล้วเลือกเรียน บางคนที่เลือกมาก็ต้องเรียกว่าอุทิศตนมา บางส่วนก็เลือกมาเพราะความไม่รู้ว่าพยาธิแพทย์ทำอะไร และต้องเจออะไร มาแล้วก็เลิกกลางครันบ้าง บางคนก็ทู่ซี้เรียนจนจบแล้วไปประกอบอาชีพอื่นซะเลย
ปัจจุบันมีพยาธิแพทย์ในประเทศไทยทั้งสามอนุสาขาและนิติเวชศาสตร์ด้วย ประมาณ 500 คน ที่ปฏิบัติงานทางพยาธิวิทยาจริงๆ ไม่ถึง 300 คนครับ น้อยมากสำหรับประชากร 65 ล้านคน