เมื่อเดือนก่อนผมมีงานสอนนักศึกษาแพทย์แต่ไม่ได้สอนวิชาแพทย์อย่างที่อาจารย์แพทย์เค้าสอนกัน ผมสอนการเขียนสีอะคริลิกด้วยมือ ซึ่งที่จริงน่าจะเรียกว่าเขียนด้วยนิ้วมือจะถูกต้องกว่า
มีนักศึกษาแพทย์ในกลุ่มที่เรียนด้วยถามผมว่าทำไมผมถึงเลือกเป็นพยาธิแพทย์ ผมกำลังเขียนรูปด้วยมือสนุกอยู่ก็เลยไม่ได้เล่าความเป็นมาให้ฟัง ได้แต่พูดตัดบดไปว่า เรื่องมันยาว ถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟัง แล้วก็ไม่มีโอกาสสักที ก็ขอเล่าที่นี่ก็แล้วกัน
ตอนผมเรียนชั้นปรีคลินิกมีวิชาหนึ่งที่มีอาจารย์สอนน้อยมากมีอาจารย์ผลัดเปลี่ยนกันมาสอนบรรยาย 3-4 ท่านเป็นการสอนแบบชอล์กแอนด์ทอล์คเสียส่วนใหญ่ ชั่วโมงแล็ปก็ดูชิ้นเนื้อดอง (museum) ดูสไลด์เนื้อเยื่อ (class slides) มีอาจารย์มาช่วย คนสองคนก็ดีแล้ว เพราะส่วนมากไม่มีสักคน ยากก็ยาก เยอะก็เยอะ รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง ที่รู้แบบเข้าใจผิดก็มี คงต้องเข้าใจนะครับว่าก็ใช้จินตนาการเอา(จะเรียกว่าตรัสรู้ก็เว่อร์ไป) กว่าจะรู้ว่าเข้าใจผิดก็ตอนมาเป็นพยาธิแพทย์นี่แหละ ตอนนั้นแค้นมาก ทำไมไม่มีคนสอนวะ ถึงตอนนี้นึกขอบคุณอาจารย์ที่ไม่สอนแล็ป เพราะทำให้เราคิดเองเป็น เรียนเองได้ ถึงจะผิดบ้างในตอนแรก แต่ตอนหลังเราก็รู้ว่าเราเข้าใจผิดด้วยตัวเอง ทำให้เราไม่ยึดถือที่อาจารย์สอนเป็นสิ่งตายตัว เพราะความรู้ไม่หยุดอยู่กับที่เปลี่ยนแปลงตลอด ถูกต้องวันนี้ ต่อไปอาจไม่ถูกก็ได้ ความรู้มีเกิดมีตายเหมือนกัน อันที่เคยเข้าใจว่าถูก ต่อมามีความรู้เกิดใหม่พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่แล้ว ความรู้ที่ไม่ใช่แล้วนั้นก็ต้องเรียกว่าตาย
ถึงจะกระท่อนกระแท่นอย่างไรพวกเราก็ผ่านไปได้จนเรียนจบหลักสูตร 6 ปี พอผ่านพยาธิวิทยาไปแล้วก็ไม่เคยคิดถึงภาควิชาพยาธิวิทยาอีกเลย จนมาเป็นแพทย์ฝึกหัด ผมสมัครเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลนครเชียงใหม่คณะแพทย์ มช ด้วยเหตุผลว่าไม่อยากย้ายที่อยู่บ่อยๆ ให้จบแพทย์ฝึกหัดแล้วย้ายไปใช้ทุนที่อื่น ทีเดียวเลยดีกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าคณะแพทย์ มช จะเลือกผมหรือเปล่าเพราะสมัยนั้นการได้เป็นแพทย์ฝึกหัดที่นี่มีความหมายมากสำหรับผู้ที่จะเป็นแพทย์ประจำบ้าน ซึ่งป็นขั้นตอนสำคัญที่จะได้เป็นอาจารย์หมอต่อไป ผมดูจะมีความหวังน้อยกว่าเพื่อนๆ เพราะเรื่องเรียนผมไม่มีอะไรเด่น แม้จะผ่านไปได้แบบไม่เคยสร้างปัญหาให้กับอาจารย์ ผู้สอน ไม่เคยตกไม่เคยซ่อม ไม่เคยถูกเชิญไปกินน้ำชา หรือเข้าห้องเย็นกับหัวหน้าภาควิชาใดๆ
ผมมารู้ตอนหลังว่าที่ได้เป็นแพทย์ฝึกหัดที่นี่เพราะคณะฯ หมายตาไว้จะให้มาเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา เพราะมีเพื่อนผมคนนึงไปปล่อยข่าวไว้ว่าผมอยากเป็นพยาธิแพทย์โดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลย พอเป็นแพทย์ฝึกหัดได้ประมาณครึ่งปี ผมก็ถูกเรียกไปคุยให้ผมสมัครเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา (อาจารย์หมอธรรมเนียม วสีนนท์ และอาจารย์หมอกำจัก สวัสดิโอ เป็นผู้เรียกไป) ตอนนั้นรัฐบาลให้แพทย์จบใหม่เลือกเป็นอาจารย์ปรีคลินิกก่อนเลย ก็แบบว่าเลือกแล้วไม่ต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัดอะไรทำนองนั้น เหตุผลที่แท้ก็คือตอนนั้นคณะแพทย์ทั่วประเทศขาดแคลนอาจารย์ปรีคลินิกที่จบแพทยศาสตรบัณฑิตมากๆๆๆ โดยเฉพาะภาควิชาพยาธิวิทยา เพราะภาควิชานี้จบวุฒิอื่นๆ ทำอะไรได้น้อย ที่จริงต้องเป็นพยาธิแพทย์ แต่หาไม่ได้ก็จบแพทย์มาก็ได้ ยังมีโอกาสเรียนต่อเป็นพยาธิแพทย์ วุฒิอื่นไม่มีโอกาสเป็นพยาธิแพทย์ถ้าไม่จบแพทยศาสตรบัณฑิต
ก็เป็นอันว่าผมหลวมตัวตกลงที่จะสมัครเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา หลังจากส่งใบสมัครไปแล้ว หัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา (อาจารย์หมอวิทย์ มีนะกนิษฐ์) ก็เรียกไปคุย ความที่อาจารย์หมอวิทย์ท่านอกหักหาอาจารย์ไม่ได้จนชินแล้วท่านก็เลยไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับการที่ผมรับปากว่าจะสมัครเป็นอาจารย์ลูกภาคของท่าน ท่านเล่าให้ฟังว่าพยาธิแพทย์ต้องทำอะไรบ้าง แล้วท่านพูดตรงๆ ว่า “อืม...ถ้าอยู่ได้ก็มาอยู่นะ ไม่อยากมาก็อย่ามาเลย” ตอนหลังถึงเข้าใจความหมายของท่าน แต่ตอนนั้นเกือบเปลี่ยนใจถอนใบสมัครซะแล้ว
ผมจำได้ว่าพอออกจากห้องอาจารย์หมอวิทย์ ผมก็ไปออก OPD อายุรกรรม ตรวจคนไข้ได้สองคน ก็ถูกตามกลับไปภาควิชาพยาธิวิทยาอีก เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ (คุณวัฒนาพร) โทรมาบอกว่าให้ไปพบอาจารย์หมอโชติ ธีตรานนท์ ผมกำลังมีคนไข้รออยู่ก็เลยบอกว่ายังไม่ว่าง เท่านั้นเองก็วางสายไป สักครู่ก็มีโทรศัพท์มาอีก คราวนี้เป็นเสียงอาจารย์หมอโชติ โทรมาเอง บอกว่า “ขออนุญาต OPD ให้แล้วมาคุยกันหน่อย” ผมก็เลยต้องไปคุยกะท่าน อาจารย์โชติ ท่านพูดเก่ง รู้สึกดีขึ้น แต่ผมก็ขอกลับไปคิดให้แน่ใจอีกครั้ง ท่านบอก “ไม่ได้ ห้ามเปลี่ยน เราต้องการคุณ” ผมก็เลยไม่ได้ทำ cardiac transplant (เปลี่ยนใจ)
หลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง คุณหมอประวิตร พิศาลบุตร โทรมาให้เรียนอาจารย์หมอวิทย์ให้ด้วยว่า ได้สมัครเป็นอาจารย์ด้วยอีกคนหนึ่ง พอผมไปเรียนอาจารย์ ท่านก็ดุผมว่า “ทำไมไม่ให้เค้ามาพูดเอง”
แต่พูดถึงอาจารย์หมอวิทย์นะครับ ท่านไม่เชื่อใจว่าผมจะมาเป็นลูกภาคท่าน จนกระทั่งตอนจะจบแพทย์ฝึกหัด ผมจะต้องรายงานตัวป็นอาจารย์ 1 เมษายน 2524 แต่ผมไปขอลากลับบ้านเพื่อไปเกณฑ์ทหาร ท่านก็ดูหน้าไม่ดีเลย (ทราบจากท่านทีหลังว่าท่านคิดว่าผมกับประวิตรเบี้ยวแน่แล้ว) ส่วนประวิตร ก็ลาเหมือนกันมาทีหลังผมเสียอีก แต่ยังไงๆก็มาทั้งคู่ พอเดือนตุลา ปีนั้นเอง อาจารย์หมอวิทย์ก็เกษียณอายุราชการ แต่ยังคงมาปฏิบัติงานเป็นอาจารย์พิเศษอีกสิบกว่าปี จนผมไปเรียนจบเป็นพยาธิแพทย์แล้วยังได้มาทำงานกับท่านอีกหลายปี สนุกมากเลย
ผมตั้งใจว่าจะลองเป็นอาจารย์ดูก่อนถ้าไม่มีอะไรสาหัส ก็จะไปเรียนเป็นพยาธิแพทย์ ส่วนประวิตร บอกเลยว่าจะอยู่ใช้ทุนสามปี เพื่อเตรียมตัวสอบ ECFMG จากนั้นจะไปเรียน American Board ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดทั้งสองคน ผมไปเรียนต่อทางพยาธิวิทยาที่ รพ รามาธิบดี ประวิตรก็ไปเรียน American Board of Dermatology
เผลอเดี๋ยวเดียวผ่านไป 30 ปีแล้ว
เหตุผลสำคัญที่ผมสมัครเป็นอาจารย์ภาควิชาพยาธิวิทยา ตอนนั้นก็เพราะหลังจากคิดทบทวนแล้วผมเห็นว่าอาจารย์ปรีคลินิกโดยเฉพาะพยาธิแพทย์ขาดแคลนแพทย์มากกว่าแพทย์ชนบทเสียอีก ถึงอย่างไรก็ยังมีคนอยากไปชนบทมากกว่าเป็นอาจารย์ปรีคลินิก ตอนที่ผมเป็นอินเทอร์น ก่อนที่สมัครเป็นอาจารย์ก็มีข่าว hot ว่ารุ่นพี่ยอมลาออกโดยชดใช้ทุน สี่แสน แล้วไปปฏิบัติงานในชนบท เพื่อที่จะไม่ถูกบังคับให้ปฏิบัติงานที่ภาควิชาพยาธิวิทยา ผมก็คุยกับเพื่อนว่าสงสารภาควิชาพยาธิวิทยาจัง นี่กระมังที่เพื่อนผมไปปล่อยข่าวว่าผมอยากเป็นพยาธิแพทย์
เหตุผลของผมขายออกครับ มีอาจารย์หมอดำรงศักดิ์ บุลยเลิศ เปลี่ยนใจหลังจากที่สมัครไปใช้ทุนเป็นแพทย์ชนบทขอเปลี่ยนกลับมาเป็นอาจารย์ภาควิชาสรีรวิทยา เพราะเห็นด้วยกับเหตุผลของผม และต่อมาก็ไปทำ PhD ทาง ประสาทสรีรวิทยา แต่ตอนนี้ไปทำทาง IT และ การแปลมากกว่า
ก็มีบางคนที่ยอมอยู่เป็นอาจารย์ปรีคลินิกเพราะไม่อยากไปอยู่ชนบท ผมเองก็ยังมีคนคิดว่าเป็นเหตุผลนั้น แต่ไม่ใช่นะครับ เพราะผมไม่ลำบากที่จะอยู่ชนบทเลย ชอบด้วยเพราะผมเป็นคนชนบทแต่กำเนิด
เห็นไหมครับเหตุผลที่สมัครเป็นอาจารย์ปรีคลินิกไม่ใช่เพราะชอบในวิชาสักเท่าไร เป็นเหตุผลอื่นมากกว่า สำหรับผมรู้สึกว่าชอบวิชาพยาธิวิทยา และค้นพบว่าตัวเองเหมาะกับอาชีพพยาธิแพทย์ก็ตอนปฏิบัติงานเป็นพยาธิแพทย์มาระยะหนึ่งแล้ว แต่สิ่งที่เป็นพลังขับเคลื่อนให้เดินเส้นมาตามเส้นทางนี้ก็คือความภูมิใจที่ได้เลือกปฏิบัติงานในที่ที่ต้องการเราและการได้เติมเต็มในส่วนที่สังคมขาดแคลน
เมื่อใดที่ความภูมิใจอันนี้หมดไปก็คงหมดแรง